.

1. พื้นนอก (Outsole) XT-900 พื้นยางนอกสำหรับการยึดเกาะพื้นถนนได้ดีขึ้น

2. แผ่นคาร์บอน S-curve carbon-fiber plate ให้ความเด้งและแรงส่งกับผู้สวมใส่ในทุกก้าวของคุณ

3. พื้นโฟมชั้นกลาง (Midsole) PWRRUN PB คือเทคโนโลยีการรองรับแรงกระแทกที่ทำให้คุณไปได้ไกลกว่าเดิม มีความนุ่ม เด้ง และเป็นโฟมตัวท็อปของ Saucony (นุ่มกว่ารุ่น 1 และ 2)

.

ทีนี้เรามาดูทีละส่วนกันดีกว่าครับ ว่ามีเทคโนโลยีอะไรบ้างและหน้าตาระยะประชิดของเจ้า Endorphin Pro 3 เป็นยังไงและเหมาะกับใคร ?

.

.

UPPER - ผ้าตาข่าย ที่รูระบายใหญ๊ใหญ่

เป็นการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมที่ว่าบางแล้ว รุ่น 3 ตัวนี้ บางกว่าและเปลี่ยนเป็นรูตาข่ายทั่วทั้งตัว Upper จากที่่ได้สัมผัสและลองสวมใส่ รู้สึกได้ถึงความสบาย และการระบายอากาศได้ในทันทีว่าลมเย็นๆ พัดผ่านพาเอาความร้อนจากเท้าของเราออกไป แต่ที่น่าสังเกตุคือตัวเนื้อวัสดุไม่ได้รู้สึกว่าขาดง่ายเหมือนหน้าตาของมัน ดูมีความกระด้างนิดๆ ซึ่งน่าจะทำให้มันแข็งแรงขึ้น (แต่แอบรู้สึกว่า ความที่เป็นตาข่ายแบบนี้เวลาใส่ถุงเท้าสีสันจัดจ้าน ก้มักจะไม่รอดที่สีสันมันจะหลุดเล็ดลอดออกมาให้คนอื่นเห็น) 

.

.

ส่วนตัวลิ้นรองเท้าก็มาในลักษณะที่เน้นบางเบา และบริเวณขอบของลิ้นรองเท้าจะมีความนิ่มมากกว่าส่วนอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการบาดที่บริเวณข้อเท้า และในส่วนของความกระชับที่เป็นปัญหาในรุ่นที่ 1 และ 2 พอมารุ่นที่ 3 ทำได้ดีขึ้นมีความกระชับและเกาะเท้าได้ดี 

.

.

MIDSOLE - เทคโนโลยีคล้ายเดิม แต่ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิม

ถึงแม้เจ้า  Endorphin Pro 3 จะใช้โฟมตัวเดิมอย่าง PWRRUN PB แต่ด้วยความหนาที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ความกระด้างที่มีลดน้อยลง แต่ก็ไม่ถึงกับหมดไป แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นมิตรกับเท้าของเรามากกว่ารุ่น 1 และ 2 ดูไม่กีดกันนักวิ่งหน้าใหม่ที่อยากจะลองใช้รองเท้าคาร์บอน 

.

และแน่นอนว่ายังมีอีกเทคโนโลยีที่เป็นจุดขายของ  Endorphin Pro 3  นั่นก็คือแผ่นคาร์บอนรูปตัว S ที่ซ่อนอยู่ในชั้น Midsole เจ้าตัวนี้นี่แหละที่สร้างพลังความดีดและเด้งให้กับตัวรองเท้า เป็นขุมพลังทีพร้อมจะพาคนที่ใส่มันพุ่งทะยานออกไป ซึ่งจริงๆ แล้วความมันและความเร้าใจของรองเท้าคู่นี้ไม่ใช่การผสมผสานเพียงเจ้า 2 เทคโนโลยีนี้เท่านั้น เพราะการที่ Endorphin Pro ถูกใจใครหลายๆ คนเพราะเจ้าเทคโนโลยีตัวนี้นี่แหละ มันมีชื่อว่า "Speedroll" 

.

.

เทคโนโลยี Speedroll มีลักษณะที่โค้งขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลังของรองเท้า ช่วยทำให้เวลาที่วิ่งรู้สึกว่าตัวรองเท้าผลักเราไปข้างหน้าอยู่ตลอด ในแง่นึงมันทำให้เราวิ่งได้ง่ายขึ้น แต่ในอีกแง่มันก็อาจจะทำให้เราเหนื่อยได้ถ้าคุมมันไม่อยู่ เพราะครั้งแรกที่ได้ใช้ผมรู้สึกเหมือนโดนรองเท้าคู่นี้เฆี่ยนตีไล่หลังเราตลอดเวลา "ไปอีก วิ่งอีก ได้มากกว่านี้ เร็วกว่านี้ได้ เพี๊ยะๆ" มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ 555 มันพร้อมจะผลักจะกลิ้งและดันเราไปข้างหน้าซึ่งความสปอยระดับนี้ก็ทำให้ใครหลายๆ คนโดนตกเอาง่ายๆ (แค่เดินมันก็รู้สึกแล้วว่ามันช่วยได้เยอะมาก) ถ้าไม่นับความกระด้าง (แต่ตัวนี้ถือว่ากระด้างน้อยลงแล้ว) ของแผ่นคาร์บอนที่บางกลุ่มไม่ชอบนะครับ

.

.

OUTSOLE - เป็นสายซิ่งที่พื้นรองเท้าทนทานเกิ๊น

XT-900 เป็นพื้นรองเท้าวิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นซึ่งทำมาจากยางคาร์บอนระดับพรีเมียม ที่ให้การยึดเกาะได้ดีและมีความทนทาน ซึ่งถ้าดูจากรุ่น 1 ที่ได้ลองใช้จนผ่านมาเหลายเดือน จนกระทั่งเป็นปี ตัวพื้นเองถือว่าทนทาน ยังคงใช้งานได้อยู่ ไม่ลื่น ซึ่งก็แปลกใจอยู่ทุกครั้ง เพราะปกติแล้วถ้าเป็นสายซิ่งแบบนี้พื้นรองเท้ามักไม่ค่อยทนเท่าไหร่ และที่ดีขึ้นไปอีกคือการวางยาง XT-900 มาจนเกือบเต็มทั้งฝ่าเท้า ซึ่งคิดว่าจุดนี้แตกต่างกับรุ่นอื่นๆ ที่มักจะวางอยู่แค่บริเวณส้นและด้านหน้านิดหน่อย

.

Spec : 

Stack Height : ส้นเท้า 39.5 หน้าเท้า 21.5

Drop : 8mm

น้ำหนัก : ชาย(9US) 204 กรัม / หญิง(8US) 176 กรัม

Category : Neutral

.

.

Saucony Endorphin Pro 3 เหมาะกับใคร ? 

1. คนที่อยากได้รองเท้าสำหรับแข่งหรือทำลายสถิติตัวเอง 

เนื่องจากว่าเจ้านี่เป็นรองเท้าที่มีเทคโนโลยีพร้อมและครบครันสำหรับการพุ่งทะยานไป ทั้งโฟมที่เด้ง และแผ่นคาร์บอนที่ดีด รวมถึง Speedroll ที่ช่วยทำให้กลิ้งเท้าได้ง่าย จังหวะการวางเท้าก็ไม่อยาก แค่ลงกลางเท้าหน้าเท้ารองเท้าก็ตอบสนองได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่โดนจุด ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยทำให้เราทำเวลาแข่งได้ดีและทำลายสถิติตัวเองได้ไม่ยาก ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีเลย

2. คนที่อยากลอง (แต่ไม่เคยลองรองเท้าที่มีแผ่นคาร์บอนมาก่อน)

เพราะว่าเจ้า Endorphin pro 3 (เฉพาะรุ่น 3) ที่รู้สึกว่าตัวรองเท้าเป็นมิตรและกระด้างน้อยลงทำให้มือใหม่ที่อยากลองความเร็วแบบเต็มรูปแบบ สามารถกระโดดมาใช้รองเท้าคาร์บอนได้ไม่ยาก ซึ่งทำไมผมบอกแบบนั้น แล้ว Carbon X หรือ Vanish หรือ Next ผมมองว่า Endorphin มันมีพร้อมในหลายๆ ด้านและไม่ต้องปรับตัเยอะมาก เข้าใจได้ง่าย คุมง่ายกว่าและใช้งานได้ยาวนานกว่า ซึ่งก็เลยทำให้มันเหมาะกับใครที่ไม่เคยลองแล้วอยากลอง มันจะใช้ได้สนุก ง่าย และนาน

.