AOB50 "มิตรภาพและความหวัง" จั่วหัวซะเหมือนชื่อหนังวัยรุ่นสมัยก่อน
แต่มันก็แบบนั้นจริงๆ ครับ และนี่ก็คือเรื่องราวระหว่างทางบางส่วนของพวกเราที่ผม (แอดชิน) พอจะจำได้ เป็นอีก 1 ประสบการณ์ที่ครบรสมาก ๆ และอยากให้เพื่อนๆ ที่รักในการวิ่งลองตั้งทีมมาลงสนามนี้ดูครับ รับรองว่าไม่รักกันไปเลยก็หยุมหัวกันไปข้างนึง
.
เรื่องราวแบบเต็มๆ ที่พอจะจำได้อ่านต่อได้ที่คอมเม้นต์ครับ
.
- Lastman คือความท้อแท้และสิ้นหวังแบบอนันต์
- Autopilot คือแบบนี้นี่เอง
- ระยะเกินที่ก็เกินไปมากจริงๆ บ่ได้เลย
- ไอที่เค้าบอกว่า ไปด้วยกันไปได้ไกลอันนี้จริงที่สุด
- Trekking Pole ต้องมี เน้นย้ำว่าต้องมี !!!
- เจลหรือผงชงใดๆ ก็สู้อาหารจริงๆ ไม่ได้อยู่ดี
.
สมาชิกที่ร่วมชะตากรรม
กัปตันทีน : พี่วิว (อาเจ้ประจำกลุ่ม ผู้ที่พร้อมจะสะดุดแม้กระทั่งพื้นเรียบๆ)
สมาชิก 1 : น้องพลอย (ลูกรักพระเจ้า ผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่ง ดุจพระเจ้าประทานพร)
สมาชิก 2 : แอดชิน (เซอร์วิจประจำกลุ่ม แบกของเหมือนวิ่ง 100 โล)
สมาชิก 3 : แอดนิค (ปากดีประจำกลุ่ม ขิงเค้าไปทั่ว ไม่ดูสมาชิกในทีมเลย 555 )
.
ถึงแม้จะไม่เคยซ้อมด้วยกันเลย เพราะต่างคนต่างติดภารกิจ
แต่สุดท้ายพวกเราก็จบพร้อมกัน จุดนี้ถือว่า ปาฏิหาริย์
01.ตอน : จุดกำเนิดทีม WHY RUN ?
.
พวกเราถูกชักชวนจากพี่วิว (เพื่อนร่วมงานเก่าของเรา) สายตรงมาหาแอดนิคว่าต้องการสมัครทีมผสม ขาดอีก 2 คน สนใจมั้ย หลังจากประเมินวันและเวลาในการซ้อมรวมถึงชักชวนแอดชินเรียบร้อยก็เป็นอันตกลงคอนเฟิร์มในการลุย AOB50
.
หลังจากที่สมัครไปแล้วก็ยังคงคิดชื่อทีมไม่ออก ชื่อที่ถูกคิดในช่วงแรกมีตั้งแต่ ทองหยิบทองหยอด,น้องปี 1 กับพี่ปี 2 , เราคิดชื่อทีมไม่ออก,คนใจง่าย,นักวิ่งการละคร, ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด วนอยู่หลายชื่อก็ยังไม่ไฟนอล จนมีอยู่วันนึงเป็นวันที่ได้ตั้งวงกินข้าวกันกับพี่ๆ นักวิ่ง แล้วก็มี 1 ชื่อที่หลุดออกมาบนโต๊ะ "Why Run ?" เห้ยย ชื่อนี้เข้าท่า เอาชื่อนี้ละกัน (ขอบคุณ ...พี่น็อตที่ช่วยคิดชื่อ)
02.ตอน : จุด Start เรื่องราวทั้งหมด ณ วัดน้ำบ่อหลวง
.
เวลา 09.00 น.ที่เส้น Start คุยและตกลงกันว่าเราจะค่อยๆ เคาะไปเรื่อยๆ ทางราบวิ่งเพซ 7.00-7.30 โดยมีหัวลากเป็นแอดชิน เพราะแอดนิคขายาวกว่าชาวบ้านห้ามนำเด็ดขาดคนอื่นจะลำบาก ส่วนถ้าเจอเนินเราจะเดินขึ้น ทางลงเราจะวิ่ง ประคองแบบนี้ไปจนจบ CP เข้าแล้วรีบออก เป้าหมายคือ 12 ชม.
.
ปล่อยตัวออกไปช่วงต้นเป็นช่วงที่เราจะเจอถนนและทางลูกรังสลับกันไป วิวสองข้างทางจะเป็นนาของชาวบ้าน และวันนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าแบบตะโกน ไม่มีเมฆและความเย็น แสงแดดแผดเผาถึงขีดสุด หันมองนาฬิกานี่แค่ 9 โมงเช้า ร้อนอะไรขนาดนี้ ระหว่างนี้สมาชิกในทีมก็บ่นเรื่องอากาศก็อย่างออกรสชาติ ล่วงเลยมาที่กิโลเมตรที่ 5 ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่ด้วยสภาพอากาศก็ตัดทอนกำลังกันไปพอสมควร ซักพักเราก็มาหยุดที่ CP แรก "สันปู่เลย" เช็คสมาชิกทุกคนยังปกติไม่มีใครเจอปัญหาอะไร เติมน้ำ เติมเกลือแร่ และแตงโม แวะเซลฟี่กัน 1 รูปแล้วก็ออกลุยต่อ
03.ตอน : ลูกรักพระเจ้า
.
ออกตัวมาจากสันปู่เลยก็ยังมีสภาพทางคล้ายกับช่วง 10 โลแรกแดดร้อนๆ ยังคงทำให้เราทรมาณเช่นเคย ระหว่างที่แปดเท้ากำลังก้าวไป เรื่องเล่า เม้ามอยสองข้างทางของพวกเรา 4 คน ก็ดำเนินไปอย่างถึงพริกถึงขิง คุยกันไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เรื่องบรรยากาศ เรื่องชีวิต เรื่องตลก รวมถึงการเช็คสมาชิกในทีมว่าอย่าลืมเติมพลังงานและเกลือแร่เป็นระยะๆ เรียกว่าคุยกันทุกเรื่องที่พอจะนึกออก ณ ตอนนั้น .... ราวๆ เที่ยงกว่าๆ ได้ยินเสียงจากน้องเล็กของเรา (น้องพลอย) เป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของเรา เด็กสาวจากร้อยเอ็ด ที่มีฉายาว่า "ลูกรักของพระเจ้า" ฉายานี้ได้มาเพราะร่างกายที่แข็งแกร่งสุดๆ จนพี่วิวชอบแซวว่ารู้มั้ยว่าปกติบ้านคนอื่นเวลาไถนาเค้าขี่ควายไปไถ่ แต่น้องพลอยเค้าอุ้มควายไปไถได้เลยนะ ได้หัวเราะไป 1 กรุบ ใดๆ ไม่ใช่การบุลลี่ แต่เป็นการเชยชมในแง่ของพละกำลังนะครับ
.
กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบันอยู่ดีๆ น้องพลอยก็พูดโพล่งขึ้นมาว่า หนูหิวข้าว อีกไกลมั้ย (น้องพลอยเป็นสมาชิก 1 เดียวที่ไม่พกนาฬิกา ไม่ดูแผนที่ ไม่พกเจล บอกแค่ว่าหนูจะวิ่งตามพี่ๆ อย่างเดียว) หลังจากเช็คแผนที่แล้วบอกว่าอยู่ที่กิโล 19.5 เราก็อยู่ไม่ไกลละ งั้นเดี๋ยวเรากินข้าวเที่ยงที่ CP นี้เลยละกัน หลังจากนั้นพวกเราก็เร่งความเร็วขึ้นหน่อยเพราะท้องเริ่มร้อง ... แต่แล้ว พอกิโลที่ 19.5 วัดนิลประภาของพวกเราอยู่ไหนกันนะ... ? วิ่งต่อไปเรื่อยๆ พยายามหาหลังคาวัด โอ้เห็นไกลๆ อยู่ตรงนั้น สรุปว่าอยู่ราวๆ กิโลที่ 21 พอไปถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเรียงแถวยิงบิบ แล้วก็เข้า CP มุ่งตรงไปที่ข้าวไข่เจียวและน้ำซุป ถัดมาที่น้ำแข็งใส และน้ำอัดลมเย็นๆ หลังจากกินอิ่ม เช็คอาการและเติมของกันเรียบร้อยก็ออกสู่ CP ถัดไป "บ้านปง"
04.ตอน : ต้องรักษาแรงโมเมนตัม
.
หลังจากนี้เส้นทางเริ่มจะเจอกับเนินบ้างแล้ว หลังจากวิ่งราบๆ กันมาราว 20 กิโลเมตร เสียงก็อกแก๊กๆ ดังขึ้น ... แอดนิคควักไม้เท้าออกมากางนั่นเอง และคนอื่นๆ ก็เริ่มกางตามเดินเรียงแถวกันไป 4 คน ช่วงนี้จะเป็นการวอร์มขาขึ้นเขาลูกน้อยๆ ก่อนจะไปเจอของจริงที่ LASTMAN พวกเราก็วิ่งๆ เดินๆ ตามแพลนที่วางไว้ "เจอเนินเราเดิน ทางลงเราวิ่ง" พร้อมกับประโยคที่ผมพูดไปเรื่อยว่า เวลาเราลงเนินมาแล้ว เราต้องปล่อยให้โมเมนตัมมันดันเราไปที่เนินหน้าอย่าพึ่งรีบหยุด ทุกคนก็เกิดคำถามว่า โมเมนตัมมันคืออะไร ใช่หรอวะ ส่วนผมก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน พูดโม้ไปเรื่อย ถูกต้องรึป่าวไม่แน่ใจ 555 และทุกครั้งที่เจอทางลงและด้านหน้าเป็นเนิน ผมก็จะพูดประโยคนี้ทุกครั้ง ระหว่างที่วิ่งสลับเดิน ในแต่ละช่วงพวกเราก็จะมีเป้าหมายในการวิ่งสั้นๆ เช่นถ้าถึง เสาไฟ ต้นไม้ต้นนั้น ป้ายเหลือง ไก่ตัวข้างหน้า เราจะหยุดเดินนิดนึงแล้วค่อยวิ่งใหม่ บางทีก็จะมีตีกันบ้างว่า เสาไหน ต้นไหน และถ้าไก่ตัวนั้นมันวิ่งไปข้างหน้าเราก็ต้องวิ่งตามมันใช่มั้ย 5555 แต่พอหลังๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแดด เนิน หรือความเหนื่อย ทำให้อยู่ดีๆ พวกเราแค่บอกว่าเสาไหนก็ใจตรงกันทุกทีไป หรือนี่คือความ "สามัคคีแรกของพวกเรา" มีจังหวะนึงพวกเราวิ่งอยู่บนถนน (ไม่มีรถขับผ่าน) เป็นทางลงยาวๆ หัวแถวก็วิ่งจากซ้ายไปขวา จากขวามาซ้าย คนอื่นๆ ก็ทำตามเลื้อยเป็นงูหันมามองแล้วก็เป็นภาพที่น่ารักดี (งดดราม่านะครับ เพราะว่าไม่มีรถเลยจริงๆ) ส่วนตัวลงแบบนี้พอจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายจากการลงทางตรงยาวๆ ได้อยู่บ้าง
05.ตอน : ตะคริวที่ง่ามขา !!!
.
ก่อนถึง CP ถัดไปพวกเราเจอปัญหาแล้วครับ แอดนิคบอกว่าเหมือนตะคริวขึ้นง่ามขา WHAT!!! งงกันไปทั้งทีมว่า มันไปวิ่งท่าไหนของมันวะเนี่ย ปกติเค้ามีแต่ขึ้นน่อง ขึ้นแฮม ขึ้นหน้าขา ไอนี่ขึ้นง่ามขา สมาชิกในทีมก็คาดเดากันไปต่างๆ นาๆ หรือว่านิคมันแบะขาออกแล้ววิ่ง เพราะขามันยาว แล้ววิ่งตามพวกเราที่เพซช้า เลยอาจจะเป็นท่าชะลอความเร็ว ซึ่งพอพูดจบก็ลองทำตามท่าที่พูดมาเออหวะ มันก็เกร็งๆ ตรงมัดนั้นเหมือนกันนะ 5555 และที่เป็นปัญหาคือจะยืดยังไงดี ? ไม่มีความรู้ในการยืดมันนี้เลย สุดท้ายได้แต่เอาสเปรย์พ่นไป แต่ก็พ่นลำบาก พ่นไม่ดีโดนไข่อีก 5555 ทั้งทีมก็เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวเข้า CP แล้วไปหาวิธีเคลียกันอีกที สุดท้ายก็ได้แต่ประคองตะคริวไปจนถึงบ้านปง ดูจากสีหน้าแววตาของนิคแล้วนั้น คงทะเลาะกับตะคริวอยู่ไม่น้อย พอถึง CP ก็เติมข้าว เติมน้ำ รวมถึงจัดการปัญหาตะคริวของนิค คุยปรึกษากันเพราะว่าหลังจากนี้โหดแน่นอนเพราะเราต้องต่อสู้กับเส้นทาง LASTMAN ดูจากกราฟแล้วก็ท้อเลย ได้ข้อสรุปว่าไปต่อ เพราะว่าเรายังมีเวลาเหลือที่เผื่อมาจาก CP ก่อนหน้าพอสมควร หลังจากเช็คความพร้อมแต่ละคนแล้วก็ลุย!!!
06.ตอน : LASTMAN ความท้อแท้และสิ้นหวังแบบอนันต์
.
เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเย็นกับเส้นทางที่ชื่อว่า LASTMAN ตอนนี้ 1 ในสมาชิกมีปัญหาเรื่องตะคริว ส่วนคนอื่นๆ ยังปกติดีอยู่ ก็ต้องปล่อยให้นิคเค้าเลี้ยงและทะเลาะกับตะคริวต่อไป พวกเราช่วยได้แค่ส่งยาพ่นกับ Crampfix และกำลังใจให้ ช่วงแรกๆ ที่ดันขึ้นก็ยังชิลๆ กันอยู่ แถมเจอควายชาวบ้านตัวดำขลับขวางอยู่ข้างหน้า ดีว่าน้องเค้าเดินขึ้นไปข้างบนให้แล้วก็หลบข้างทาง เพราะไม่อย่างงั้นก็ไม่รู้จะไปยังไง เพราะน้องตัวใหญ่มาก ระหว่างทางก็คุยเล่นและแซวนิคกับน้องตะคริวเล็กน้อย ทางเป็นหินลอย ซึ่งจุดนี้ก็เป็นที่กังวลเพราะว่าพี่วิว 1 ในสมาชิกของเรา ขึ้นชื่อว่าสะดุดล้มได้แม้กระทั้งพื้นเรียบๆ ก็เลยคอยระวังกันตลอดทาง ..... แต่แล้วสิ่งที่คาดว่าจะเกิด มันก็เกิดขึ้น ได้ยินเสียงดังขึ้นมา หันไปข้างหลัง เห็นพี่วิวบอกว่าข้อเท้าพลิก ทุกคนก็เลยเข้ามาช่วยกันดู แล้วก็ถามไถ่อาการ พ่นยาแล้วลองเดินดู พี่วิวบอกว่ารู้สึกปวดๆ เจ็บๆ แต่พอเหยาะๆ ได้อยู่ หลังจากนี้ก็เลยตัดสินใจว่าจะเดิน Power Walk กันแทนยังไงมันก็เป็นการดันเนินอยู่แล้ว สรุปว่ายังไม่ถึงครึ่งทาง LASTMAN ทีมเรามีอาการบาดเจ็บถึง 2 คน แต่ทุกคนใจยังสู้ต่อ ค่อยๆ เคลื่อนขบวนกันไป
.
ระหว่างขึ้น LASTMAN ทั้งความเหนื่อย ความชัน และอาการบาดเจ็บ ทุกอย่างทำให้บรรยากาศดูเงียบลงทันตา บวกกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะสิ้่นแสงลง พลังของพวกเราก็เริ่มหมดลงเช่นกัน ซึ่งช่วงนี้พวกเราเงียบมาก ไม่เกิดบทสนทนาใดๆ ทำได้แต่ก้าวขา เอาไม้โพลปักพื้น และดันตัวขึ้น ในตอนนั้นสิ่งที่ทำได้ มีแค่นี้จริงๆ หลังจากดูนาฬิกาก็เลยหันไปบอกว่า 17.30 พวกเราจะต้องเอาไฟฉายขึ้นหัว และตรวจเช็คอาการของแต่ละคนอีกที หลังจากที่เดินมาซักพักเจอแค้มป์ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มีลานโล่งเล็กน้อย เลยตัดสินใจวางเป้แล้วขึ้นไฟฉายคาดหัวทันที ซึ่งระหว่างที่เตรียมตัวก็ถามไถ่อาการกันไปพลางๆ แต่ทุกคนบอกว่ายังพอไหว เป็นอันว่าพร้อมไปต่อ
07.ตอน : ตามหาดงกล้วย สู่อิสรภาพ ...
.
พระอาทิตย์ก็เริ่มลาลับขอบฟ้า ความมืดมิดก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ป่าตอนที่มีแสงแดดส่องกับตอนที่มืดมิดบรรยากาศรอบข้างมันช่างแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ไฟฉายที่หัวเริ่มทำงาน ช่วงนี้เราก็มีหัวข้อคุยกันบ้าง เพื่อคั่นความเหนื่อยล้าของพวกเรา เป็นการขิงไฟฉายของแต่ละคนนั่นเอง ให้พอได้หัวเราะและยิ้มกันซักหน่อย เดินไปได้ซักระยะ กลายเป็นว่าระยะห่างของแต่ละคนเริ่มกว้างขึ้น มีหยุดรอกันบ้างเป็นระยะ แต่ว่านิคกลับหายไป .... ตามตำแหน่งการเดิน จะมีผม น้องพลอย พี่วิว และนิคปิดขบวน (ถึงแม้ตะคริวจะขึ้น แต่นิคก็มีประสบการณ์พอสมควรและไม่ค่อยกลัวอะไร) ผมหันไปถามน้องพลอยว่าเราหยุดรอกันซักหน่อยมั้ย ในความมืดมิดก็รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนอยู่พอสมควร ยืนรอไม่นานพี่วิวก็เดินมาถึง ถามไถ่พี่วิวได้ความว่ายืนรอนิคมาซักพักแล้ว แต่ไม่เห็นนางเดินมาเลย ทั้ง 3 คนก็เลยปรึกษากันว่าเราจะรอตรงนี้หรือว่าขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ดี เพราะดูจากระยะ เราน่าจะใกล้ CP แล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินล่วงหน้ากันไป และคอยเช็คด้านหลังเป็นระยะ ว่ามีแสงไฟของใครมามั้ย เดินอยู่ในความมืดมิดและความเงียบ ก็ไม่ถึง CP ซักที ก่อนแข่งพี่น็อตบอกว่าถ้าเจอป่ากล้วยแสดงว่าใกล้ออกจาก LASTMAN แล้ว แต่นี่กล้วยซักต้นยังไม่มี ความท้อแท้และสิ้นหวัง เข้าครอบงำเต็มที่ นิคก็หายไปเลย จนในที่สุดเราตัดสินใจหยุดรออยู่ครู่ใหญ่ จนเห็นแสงไฟ 3-4 ดวงด้านหลัง ก็เลยตะโกนว่า นิคไหวมั้ยยย และพวกเราคิดว่าน่าจะเป็นนิคกับพี่อีกทีมแน่ๆ เราก็เบาใจลง จำไม่ได้แล้วว่าเราเจอดงกล้วยก่อนหรือหลังที่หยุดรอนิค แต่สุดท้ายเราก็เห็นแสงไฟดีใจคิดว่ามันคือ CP แต่ที่จริงเป็นแค่ Water Station ถึงกับช็อคเพราะเห็นระยะแล้วมันน่าจะเป็น CP ซึ่งพอสอบถามถึงได้คำตอบว่า CP มันห่างไปอีก 3-4 โลได้ ช็อคไปเลยตอนนั้น หมดทั้งแรง หมดทั้งกำลังใจ ท้อแท้และสิ้นหวังสุดๆ ผม น้องพลอย และพี่วิว นั่งหยุดรอนิคที่จุดนี้ จนพี่ๆ อีกทีมมาถึงผมถามว่าเพื่อนผมเดินตามมามั้ยครับ พี่เค้าบอกว่าแอดนิคอยู่ข้างหลัง น่าจะใกล้ถึงแล้ว ....
.
ซักพักนิคก็โผล่ขึ้นมา มุ่งหน้าไปที่เก้าอี้และทิ้งตัวลงนั่ง เอ่ยปากถามหา Crampfix ผมเลยยื่นของผมไปให้ 1 ขวด มันบ่นยับเลยบอกว่าเดินๆ หยุดๆ ตะคริวก็มาแล้วมาอีก Crampfix ก็หมดเกลี้ยง เพื่อนหายไปไหนกันหมดวะ ส่วนอีเพื่อนสมาชิก 3 คนก็เข้าใจว่ามันไหว บอกมันไปว่าก็เห็นหันไปถาม มึงบอกว่าไปก่อนเลยๆ ก็นึกว่ายังไหวอยู่ 555 พอมากันครบก็เช็คสภาพอาการในทีม แต่ละคนก็สะบักสะบอมกันไปพอสมควร หลังจากต่อสู้กับ LASTMAN ไป อาการข้อเท้าของพี่วิวก็ยังทรงๆ แต่วิ่งมากไม่ได้ ส่วนนิคที่มีน้องตะคริวตั้งแต่กิโลที่ 20 ก็ค่อนข้างลำบาก ผมเองก็มีอาการตึงๆ ตรงกล้ามเนื้อข้างหัวเข่าด้านใน เสียวตะคริวเช่นกัน ส่วนคนที่ดูปกติสุดก็คือน้องพลอย "ลูกรักพระเจ้า" ที่เปรียบเสมือนสวรรค์สร้างเธอให้แข็งแกร่งถามกี่ครั้งก็ไม่มีอาการใดๆ จนพี่วิวบอกว่าดีนะที่พระเจ้าใส่บัคมาด้วยให้เป็นคนขี้เกียจชอบนอน ไม่งั้นถ้าน้องมันขยันซ้อมบวกกับร่างกายแบบนี้ อายุแค่ 24 อนาคตไกลแน่นอน (ส่วนไอคนที่เลข 3 นำหน้ากันสามคนได้แต่มองกันตาปริบๆ)
08.ตอน : CP หายไปไหนนะ ....
.
พอเช็คบิบและเติมน้ำเรียบร้อย มุ่งหน้าไป CP เดินไปบ่นไปว่าเนี่ยระยะไม่ตรง ก็อย่างว่าแหละครับ คนมันหมดแรง ตบตีกับ LASTMAN มา แถมมีอาการบาดเจ็บ อะไรที่ขัดอกขัดใจ ก็มีอารมณ์บ้างเป็นธรรมดา แต่ก็เป็นการบ่นกันในทีม เอาจริงๆ ตอนช่วงที่บ่นๆ ก็ดูมีแรงขึ้นมากันได้อยู่พักนึงเหมือนกัน 5555 แต่แล้วสุดท้ายความเหนื่อยก็ยังคงเข้ามา ความเงียบก็เลยกลับมาแทนที่ เดินเลาะไปตามทางถนน เห็นป้ายชี้ไปทางลานกางเต๊นท์ป้ายแล้วป้ายเล่าก็ยังไม่ถึงซักที เดินไปท้อไป ท้องร้องสุดๆ ว่างจนไม่รู้จะว่างยังไง เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกหมดแรง แบบแค่เดินก็ไม่ไหวแล้วเดินรั้งท้ายเลยในจังหวะนั้น จนผมควักขนมปังชิ้นสุดท้ายที่พกติดมาตั้งแต่ CP แรกมากินแต่ก็ยังไม่ช่วยให้มีแรง ตอนนี้เจลหรือผงชงต่างๆ ก็ไม่ช่วย เพราะรู้สึกว่าต้องการอาหารจริงๆ เลยเอ่ยปากถามคนในทีมว่าใครมีขนมปังบ้าง สรุปคือทุกคนพึ่งกินหมดกันไปเมื่อกี๊ T T ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวเลยไปหน่อยเจอทางราบขอหยุดพักหน่อยนะ ....
09.ตอน : ดอยปุยซักที !!!
.
สุดท้ายเราก็มาถึง CP ลานกางเต๊นท์ดอยปุย มุ่งหน้าไปที่หม้อกับข้าวทันที มีพะโล้ ฟักทองผัดไข่ มาม่า ผมเอาหมดนี่เลยครับ กินหมดชามแรกและจัดมาม่า 1 ถ้วย เดินไปเติมชามที่ 2 ทันที แล้วก็แวะกินน้ำขนมอย่างเต็มที่ ถามไถ่อาการระหว่างกินข้าว แล้วก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว พี่วิวไปเต๊นท์พยาบาลดูเรื่องข้อเท้าพลิก นิคไปเข้าห้องน้ำและพิงไฟ ส่วนน้องพลอยก็ยังเติมพลังงานอยู่ สุดท้ายหลังจากทุกคนเตรียมตัวเสร็จก็ไปยืนรวมตัวผิงไฟกันครู่นึงแล้วก็ลงยาวเพื่อเข้าเส้นชัย ออกจาก CP ดอยปุยไปได้ซักพัก .... เสียงฝีเท้าวิ่งขยับเข้ามาใกล้พวกเรามาก หันไปดู อยู่ดีๆ ทีมยอดมนุษย์ 100 โล ที่ 1 ก็วิ่งผ่านเราไป แถมวิ่งดันเนินโชว์ไป 1 เนิน ได้แต่ทึ่งกับความสามารถ แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่เห็นเค้าอีกเลย จำได้ว่าได้ยินพี่สัญญากับพี่รัชชี่ส่งกำลังใจให้ และยิ้มทักทายก่อนหายไปกับความมืดมิด
10.ตอน : ขาขึ้น LASTMAN ก็ว่าท้อแล้ว ขาลงก็ไม่แพ้กัน
.
ซึ่งเป็นทางลงที่ยาวจริงๆ ขึ้นมาเท่าไหร่ก็ลงเท่านั้นเลย ลงแบบไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต่างกับตอนขึ้น LASTMAN เลย ซึ่งตอนนี้นิคดูอาการไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เริ่มคุยเล่นหยอกล้อได้ปกติ (กลับมาตบมุขได้แล้ว) นิคบอกว่าถ้าลงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ จะมีเป็นห่วงก็พี่วิวที่ข้อเท้าพลิก ยิ่งขาลงจะวางเท้าลำบากด้วย ทางลงดูไม่ยากมากถ้าไม่นับระยะทางที่ยาวไกลเหลือเกิน พี่วิวบอกว่าค่อยๆ เคาะไปไม่ไหวละ ขอเป็นเดินแทนพวกเราตกลงกันตามนั้นและค่อยๆ ฝ่าความมืดลงไปขาลงเราค่อนข้างจะเกาะกลุ่มกันเพราะกลัวระยะของแต่ละคนจะห่างกันเกินไปเหมือนขาขึ้น ระหว่างทางก็ยังคงมีความท้อแท้ และสิ้นหวังตลอดระยะทาง เพราะมันลงไม่หยุดจริงๆ เดินๆ พักๆ ผมเองก็บอกว่าถ้าแข่งคนเดียวคง DNF ไปแล้วแหละมั้ง ท้อแท้ชิบหาย ระหว่างทางลงเขา บทสนทนาก็น้อยลงตามไปด้วย ความเหนื่อยล้า ความง่วง ระยะทางที่ไม่ตรง และคำบอกกล่าวจากข้างทาง 5-6 โล ที่เป็นเหมือนตัวเลขอนันต์ ผ่านจุดแรก 5-6 โล ผ่านพี่ๆ นักวิ่งที่ขึ้นมาซ้อมก็ 5-6 โล เจออีกสองคนที่สวนขึ้นมาก็ 5-6 โล จนนิคมันบอกว่าหรือเราวนอยู่ในเมืองลับแลวะเนี่ยย และเราบอกกันว่าถ้าเจอใครอีก เราจะไม่ถามละ ถามแล้วท้อกว่าเดิม 5555
.
เวลายิ่งดึก พวกเราอยู่ในสนามยิ่งนาน อาการพี่วิวก็เริ่มไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ดูระยะทางก็ไม่ได้แล้วเพราะเกินจากระยะ 50 โลเป็นที่เรียบร้อย ที่นี้ก็ต้องดูจาก GPX แทนว่าอีกไกลมั้ย ระหว่างนี้ผมคิดอะไรออกที่พอจะให้กำลังใจได้ก็พูดออกไป สร้างความหวังเปรียบดั่งไลฟ์โค้ช ก็มีทั้งประโยคที่ฟังดูแล้วพอจะช่วยได้ และบางอันก็ไม่รู้จะพูดทำไม เช่น พระจันทร์สวยดีนะ อุ๊ยดูไฟเมืองนั้นสิ ใกล้แล้วน้าา (แต่โดนช็อตฟิลว่า แต่ดูจากระดับเรายังอยู่สูงกว่าไฟเมืองเยอะเลยนะ !!!) สุดท้ายก็จบลงด้วยการบ่นต่างๆ นาๆ ตลอดระยะทางแทน 55555 ช่วงหลังๆ ก็เลยเปิด GPX เสริมกำลังใจและสลับรูปขบวนให้พี่วิวนำ และคนอื่นตามจะได้อยู่ใกล้ๆ กันไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน ระหว่างทางก็ต้องคอยหาสัญญาณโทรแจ้งคนข้างล่างว่า น่าจะถึงเลทจากที่บอกไว้ (กลัวลงไปแล้วกลับกันไม่ได้ 555) .... ลงมาเรื่อยๆ มันไม่ถึงซักทีวะเนี่ยยย ผมหันไปบอกว่าตอนนี้ทีมเราเหมือนผ่านสงครามมาเนอะ 1 คนตะคริวมา 1 คนข้อเท้าพลิก ง่วงก็ง่วง เดินกันเหมือนเปิด Autopilot แต่มาถึงจุดนี้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องลากออกไปให้ครบทีม ต่อให้ต้องหิ้วปีกก็ต้องออกไปให้ครบ 4 คน ทุกคนก็บอกว่ามาถึงจุดนี้แล้วต้องเข้าเส้นครบทีมเท่านั้น ....
.
และในที่สุดเราก็เจอถนนดำ ซึ่งแปลว่าอีกไม่ไกลเราก็จะถึงเส้นชัย ระหว่างเดินอยู่นิคแอบเช็คตารางลำดับเราอยู่ที่ 2 ของทีมผสม แต่ทุกคนก็บอกว่าจริงๆ เรา 4 คน แค่จบครบทีมก็ปาฏิหารย์มากพอละ 555 แล้วก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนมีพี่อีกทีมวิ่งลงมาแล้วก็แซงเราไป พวกเราหันมองหน้ากันแล้วก็บอกว่าจะตามมั้ย พี่วิวบอกว่าไม่ไหวอะ นิคก็บอกว่าไม่เอา ส่วนผมก็แล้วแต่ทีมเลยหลังจากสรุปว่าโอเคไม่ตามละ ก็เลยเดินกันต่อ ผมก็ดันมีความคิดตลกๆ แซวกันขำๆ ว่าถ้าพี่วิวไม่ไหว จริงๆ ผมลองวิ่งไล่ทีมพี่เค้าแล้วผมถือไฟฉายกับนิคคนละอันให้เหมือนมีไฟ 4 ดวงมะ (อันนี้เป็นเพียงแค่การหยอกล้อเล่นกันเฉยๆ นะครับ ให้บรรยากาศในทีมมันมีเสียงหัวเราะหน่อย แต่ไม่ได้ทำจริงๆ เด้อ งดดราม่า)
11.ตอน : แค่นี้ก็ปาฏิหาริย์
.
สุดท้ายเดินจนมาถึงรั้วศูนย์แสดงสินค้าผมก็บอกว่าโห ดีนะเค้าปิดถนนให้เราด้วย 5555 เดินสบายเลย (แต่จริงๆ คือเราลงมาดึกมากเกือบๆ เที่ยงคืนได้) คนหายกันหมดแล้ว เหลือแค่สตาฟทีมงานบางส่วน พอเดินมาถึงด้านหน้ามีพี่ๆ นักวิ่งที่ดื่มฉลองกันอยู่ตรงข้ามส่งเสียงปรบมือและทักทายให้กำลังใจกัน ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนด้วยครับ เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นชัย กับตากล้องที่รอถ่ายอย่างเต็มที่ แต่ทว่าพลังงานของทีมเราหมดถึงขีดสุด ก็เลยเดินเข้าเส้นกันอย่างหมดสภาพ ทีมตากล้องบอกว่าให้เดินเข้ามาเป็นหน้ากระดาน แต่พวกเราเดินกันยังไงไม่รู้ ไม่เป็นหน้ากระดาน ผมก็เลยแซวบอกว่าแหม่ ขนาดจะเข้าเส้นอยู่แล้ว ยังไม่สามัคคีกันเลย 5555 หัวเราะกันไปก่อนเข้าเส้นชัย
.
ปิดท้ายดูนาฬิการะยะ
ระยะทาง 56.98 กิโลเมตร
เวลา 15.13 ชั่วโมง